แพทย์เตือ น อ่อนเพลียเรื้อรัง ร ะวังเป็นร ะวังไขมันพอกตับ อันตรายภัยเงียบ เช็คด่ว น



แพทย์เตือ น อ่อนเพลียเรื้อรัง ร ะวังเป็นร ะวังไขมันพอกตับ อันตรายภัยเงียบ เช็คด่ว น

ไขมันพอกตับเกิດขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะกลุ่ม เ สี่ ย ง เช่น คนที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ คนอ้วน เป็นเบาหวาน มีไขมันในเ ลื อ ดสูงและความดันโลหิตสูง หากปล่อยไว้อาจลุกลามถึงเสี ย ชีວิต

ภาวะไขมันพอกตับ (Fatty Liver) หมายถึง ภาวะที่มีการสะสมของไขมัน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของ Triglyceride ในเซลล์ตับ กล่าวคือมีปริมาณน้ำตาลส่วนเกินในร่ า งกายมากเกินความต้องการจนตับนำไปสร้างเป็นไขมัน (Lipogenesis)

ภาวะไขมันพอกตับกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ในระยะแรกมักไม่แสดงอาการใด แต่ในรายที่มีการอักเสบของตับร่วมด้วยอาจมีอาการ เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เจ็ບบริเวณชายโครงด้านขวา เ บื่ ออาหาร รู้สึกท้องอืด ท้องเฟ้อ คล้ายอาหารไม่ย่อย แน่นท้อง อึดอัดท้อง น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หากปล่อยไว้ไม่รั กษ าภาวะไขมันพอกตับอาจรุ นแร งขึ้นเรื่อย ส่งผลทำให้เกิດภาวะตับแข็งและอาจลุกลามเป็นโ ร คม ะ เ ร็ งตับจนถึงขั้นเสี ย ชีວิตได้



ในคนปกติระดับน้ำตาลจะถูกควบคุมโดยอินซูลิน (Insulin) ซึ่งผลิตมาจากตับอ่อน (Pancreas) เมื่อน้ำตาลในเ ลื อ ดสูง ตับอ่อนจะหลั่งอินซูลินออกมามากขึ้น โดยอินซูลินจะออกฤnธิ์ที่ตับ กล้ามเนื้อ และเซลล์ไขมันเพื่อให้ใช้น้ำตาล

ในภาวะที่ดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) ซึ่งอาจจะเกิດจากกssมพันธุ์ (Genetic Predisposition) หรือจากพฤติกssม (Imbalance Lifestyle), การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลหรือไขมันมากเกินไป (High Carbohydrate and High Fat Diet) จะทำให้เซลล์ต่าง ไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ทำให้ตับอ่อนต้องผลิตอินซูลินเพิ่มมากขึ้นเพื่อรั กษ าระดับน้ำตาลในเ ลื อ ดให้คงที่ เมื่อภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มมากขึ้นจึงทำให้ตับมีการสะสมไขมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ในยุคนี้ไม่มีน้ำตาลไหนจะอันตรายไปกว่า High Fructose Corn Syrup ที่อุตสาหกssมอาหารและเครื่องดื่มนำมาใช้ปรุงแต่งผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มสำเร็จรูปทั้งหลายอันเป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดที่นำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับ

ในระยะแรก ถ้าได้รับการรั กษ า ตับสามารถคืนสู่สภาพปกติได้ แต่หากปล่อยไว้จนเป็นตับแข็ง ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรั กษ าทางย าที่ช่วยให้ตับคืนสภาพได้ หรือหากเป็นรุ นแร งจนตับทำงานไม่ได้ ก็ต้องรอผ่า ตั ดเปลี่ยนตับอย่างเดียว



การตรวจคัดกรองภาวะไขมันพอกตับ ในปัจจุบันสามารถทำได้สะดวกรวดเร็วและไม่เจ็ບ หากพบว่ามีภาวะนี้ แพทย์จะแนะนำเ รื่ อ งการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ร่วมกับการรั กษ าที่เหมาะสมต่อไป

จะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังมีไขมันพอกตับ

1. โดยเจาะเ ลื อ ดดูการทำงานของตับ (Liver Function Test) ว่ามีค่าการอักเสบ (Inflammation) สูงกว่าปกติ หรือไม่ ในคนที่มีภาวะไขมันพอกตับอาจพบระดับน้ำตาลและระดับไขมันในเ ลื อ ดสูงกว่าปกติร่วมด้วย

2. การตรวจอัลตราซาวนด์บริเวณช่องท้อง จะพบว่าตับอาจมีขนาดโตขึ้น และมีลักษณะขาวขึ้นเมื่อเทียบกับไตและม้าม

3. การตรวจวัดไขมันพอกตับจากการ Scan ด้วยเครื่อง (Dexa Scan Whole Body)

4. Fibroscan เป็นการตรวจความยืดหยุ่นพร้อมกับประเมินไขมันสะสมภายในเนื้อตับเพื่อสำรวจความเสียหายของเนื้อเยื่อจากการมีไขมันไปพอก

ป้องกันภาวะไขมันพอกตับ

– ควรลดน้ำหนักโดยการควบคุมปริมาณและคุณภาพอาหาร หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง (High Fat) เช่น นม เนย ไอศกรีม เค้ก ชีส กะทิ อาหารทะเล ไข่แดง และเนื่องจาก Triglyceride เป็นตัวสำคัญที่สะสมคั่งในตับก็ต้องพย าย ามหลีกเลี่ยงไม่รับประทานอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมากเกินไปด้วยเช่นกัน

– ควรเพิ่มผักผลไม้สด ถั่ว และธัญพืชที่มีเมล็ด เช่น เมล็ดดอกทานตะวัน (Sunflower Seed) เมล็ด ฟักทอง (Pumpkin Seed) งา (Sesame Seed) นอกจากนี้การรับประทานผักบางชนิดยังสามารถช่วยเร่งกระบวนการกำจัดพิ ษออกจากตับ (Detoxification) ได้ เช่น ผักตระกูลบรอกโคลี กะหล่ำ กระเทียม และ หัวหอม

– ในส่วนของเนื้อสัตว์ แนะนำให้รับประทานเนื้อที่ไม่ติดมัน เช่น เนื้อปลา เน้นทานไขมันที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เช่น น้ำมันมะกอก (Olive Oil) อะโวคาโด (Avocado) น้ำมันปลาโอเมก้า3 (Omega 3 Fish Oil)

– ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

– สมุนไพรและอาหารเสริมบางชนิดทำหน้าที่ช่วยขับสารพิ ษออกจากตับได้ เช่น Milk Thistle, Alpha Lipoic Acid (ALA), N-Acetyl-l-Cysteine (NAC)/NAC เป็นสารตั้งต้นของ Glutathione ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญมากที่สุดในร่ า งกาย ทำหน้าที่ช่วยขับพิ ษออกจากตับ นอกจากนี้ Vitamin B และแมกนีเซียม (Magnesium) ยังมีคุณสมบัติในการช่วยเยียวย าและกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ตับที่เสียหายอีกด้วย

– หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

0 comments:

Post a Comment